ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 06 Red Hot Chili Peppers - Californication (1999)

 ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 06


ครั้งนี้ เราจะมาพูดถึงวงที่ไม่ใช่แนวเมทัลกันบ้าง แต่การแสดงและฝีไม้ลายมือนั้นโคตรจะร็อคแอนด์โรล โคตรจะบ้าบิ่น รอบนี้เราจะมาพูดถึงวง 4 หนุ่ม จากเมืองแคลิฟอร์เนีย 4 หนุ่ม พริกเผ็ด “Red Hot Chili Peppers” หรือที่เราจะเรียกกันสั้นๆว่า RHCP ครับ


(จาก https://i.redd.it/zap0q1h823d91.jpg)

ตัวผมเองกับวงนี้ ผมจำไม่ค่อยได้ชัดนักว่า ผมได้ติดผลงานที่บ้าระห่ำกับวงนี้ไปเมื่อไร แต่ถ้าเพลงแรกที่เริ่มรู้จัก ผมยังจำมันได้ดี คือเพลง Californication ที่ Concept MV เป็นการจำลองในโลกของเกม ผนวกกับอินโทรของกีตาร์ที่ติดหูตั้งแต่แรกเริ่ม (เป็นไลน์เบสเพลงแรกๆในชีวิตที่แกะ)

เรามาเข้าเรื่องกันเลยละกัน… เราจะมาพูดถึงอัลบั้มที่เป็นการตอกย้ำว่า แนวทางที่วงกำลังทำอยู่นั้นมันช่างเหมาะเหมงกับการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมเสียที คือว่าง่ายๆคือ ทำอะไรก็ขาขึ้นไปหมด พร้อมกับการกลับมาของหัตถ์พระเจ้าทางด้านกีตาร์นาม John Frusciante ที่มาดึงคนที่เหลือในวงให้พ้นขึ้นจากเหนือน้ำได้อีกครั้งกับอัลบั้ม Californication

อัลบั้ม Californication เป็นอัลบั้มชุดที่ 7 ของวง ออกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1999 โดยได้โปรดิวเซอร์คู่บุญอย่าง Rick Rubin มาช่วยในการทำงานครั้งนี้

อัลบั้มชุดนี้ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีเป็นอย่างมาก รวมถึงยอดขาย โดยขึ้นทะยานไปที่อันดับ 3 อัลบั้มยอดเยี่ยมจาก US Billboard 200 และได้รางวัล Grammy Award จากเพลง Scar Tissue ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่อัลบั้มก่อนหน้าอย่าง One Hot Minute ที่ออกเมื่อปี 1995 ได้ถูกวิจารณ์ไปในทางที่ไม่ค่อยดีนักจากหลายสำนัก

John Frusciante ได้กลับมาทำผลงานร่วมกับวงอีกครั้ง (ครั้งที่ 2) หลังจากที่ออกเพราะทนรับกระแสโด่งดังจากอัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik ไม่ไหว

ผลงานชิ้นนี้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นทอง ส่งผลให้สถานภาพของวงทะยานขึ้นสู่เป็นวงแถวหน้าของโลก ด้วยสไตล์ดนตรที่มีความลงตัว ลดความเกรี้ยวกราดทางด้านดนตรี รวมถึงวิธีการร้อง ที่เริ่มสร้างความเป็นมิตรต่อเหล่ามหาชนแฟนเพลง รวมไปถึงเป็นการชำละล้างบาดแผลจากอัลบั้มชุดที่แล้วอย่าง One Hot Minute ที่ออกเมื่อปี 1995 อีกด้วย (แต่ส่วนตัวผมชอบอัลบั้มนี้นะ)

เดี๋ยวเรามาอธิบายแต่ละเพลงกันดีกว่า ลุย!!

—------------------------------------

รีวิวแบบ Track by Track


(จาก https://img.kytary.com/eshop_ie/velky_v2/na/637327625126230000/a63eb1cd/64771400/ms-red-hot-chili-peppers-californication.jpg)

ภายในอัลบั้มมีความยาวทั้งหมด 15 แทร็คด้วยกัน โดยจะมี 3 แทร็คที่เพิ่มเข้ามาเป็นโบนัสแทร็ค ในรูปแบบของสตรีมมิ่ง

Track 01 Around The World (3:58)
มาเพลงแรกก็เปิดต่อมบ้ากระห่ำเสียแล้ว เสียงเบสโหมโรงด้วยการเล่นตะบันสาย 4 โน๊ต E พร้อมกับเอฟเฟกต์แตกติดกลิ่น Overdrive อ่อนๆ โชว์ความพริ้วและความจัดจ้านจาก Flea พร้อมกับเนื้อเสียงเบสที่ยังหนักแน่น ก่อนจะตะบันด้วยกีตาร์ตามมา และหลังจากนั้นทั้งวงก็เริ่มโหมกันอย่างไม่ยั้ง ก่อนจะหยุดฟีลด้วยการใช้ลูกเล่นกีตาร์ พร้อมกับ Groove ของแนว Funk เข้ามา บอกตามตรงว่าเพลงนี้ เบสโคตรมันส์!! แต่ก็โคตรยากเช่นกัน (หัวเราะ) รวมไปถึงท่อนที่ผมเองชอบมาก คือท่อนที่ Anthony Kiedis แนงๆนองๆนิงแนงนิง ในท่อนฮุ้คของเพลง

Track 02 Parallel Universe (4:30)
เสียง Palm Muted ของกีตาร์เริ่มขึ้นและมาต่อด้วยเบส ตามด้วยกลองคอยซอยแฮทไปเรื่อยๆ เป็นเพลงที่ผมเองค่อนข้างชอบส่วนตัว เพราะเพลงมันจะคอยบิ้วเราให้มีอารมณ์ร่วมกับเพลงไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสุดด้วยเสียงกีตาร์พร้อมกับการเหยียบ Wah ของ John Frusciante โดยซาวนด์ที่แกเล่นรู้สึกได้ถึงสไตล์การเล่นของ Jimi Hendrix พร้อมกับเสียงอื่นๆ ที่สร้าง Ambient วนอยู่ในหูไปมา

Track 03 Scar Tissue (3:37)
ซิงเกิ้ลแรกที่โปรโมทอัลบั้ม Californication ด้วย MV ที่น่าจะคุ้นเคยสำหรับใครหลายคน ที่สมาชิกทั้ง 4 ได้นั่งรถไปตามทาง พร้อมกับอินโทรของกีตาร์ที่ติดหู ฟังง่าย และลื่นหูไปตลอดทั้งเพลง โดยรวมทางดนตรีของเพลงนี้ เป็นเพลงที่ฟังสบายง่ายๆชิวๆ ที่มีความคล้ายกับเพลง I Could have Lied หรือ My Friends ในปัจจุบันเพลงนี้เป็นเพลงที่วงมักจะเอามาเล่นอยู่ประจำ

Track 04 Otherside (4:15)
อีกเพลงที่ผมเองชอบมาก ด้วยดนตรีที่ติดหู และเบสที่แกะง่ายมาก ด้วยสไตล์เพลงที่ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ ฟังแบบเพลินๆ เนื้อหาเพลงทางวงแต่งถึง Hillel Slovak มือกีตาร์ร่วมก่อตั้งวงที่ถูกพรากชีวิตจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาดเมื่อปี 1988 ในช่วงที่วงกำลังตั้งไข่หางานเล่นไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง

Track 05 Get On Top (3:18)
หลังจากที่เราได้ฟังเพลงที่ฟังสบาย เรียบง่ายมาแล้ว 2 เพลง เพลงที่มีกลิ่นอายของความบ้าบิ่นในทางของ Funk Rock ที่เราคุ้นเคยได้กลับมาอีกครั้ง เสียงสับกีตาร์เป็นสัดเป็นส่วน พร้อมกับกลองชวนโจ๊ะและเบสที่เล่นขัดกับกีตาร์คลอไปมา รวมถึงวิธีการร้องแบบมาดกวนๆ มีแถมลูกเล่นน่าสนใจเข้าไปตลอดทั้งเพลง พอได้โยกหงึกๆ แต่โดยรวมยังคงฟังง่าย โดยที่ไม่ต้องใช้สมาธิมากจนเกินไปขณะที่ฟัง

Track 06 Californication (5:30)
บทเพลงที่โคตรของโคตรดังที่สุดของวง อินโทรกีตาร์แรกขึ้นมายังคงขนลุกสำหรับผม MV ที่ตราตรึงใจ รวมถึงเป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับวงนี้ กีตาร์เล่นอย่างเรียบง่ายถูกซ้อนด้วยเบสที่คลอกันไปมา ก่อนจะต่อด้วยเสียงกลองที่พอให้มีจังหวะได้โยกแบบเบาๆไปตลอดทั้งเพลง และก็เชื่อว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงร็อคที่ดีที่สุดในชีวิตของใครหลายคน เนื้อหาของเพลงได้กล่าวถึงด้านมืดของวงการหนังหรือลักษณะสังคมของกองถ่ายหนัง

ปัจจุบันเพลง Californication ได้ถูกลงสถิติว่าเป็นเพลงที่ทางวงเอามาแสดงสดมากเป็นอันดับ 3 โดยมากกว่า 500 ครั้ง โดยเพลงนี้ทางวงตั้งใจอยากทำเพลงที่ฟังง่ายคล้ายกับ Under the Bridge ที่วงเคยลองแล้วประสบความสำเร็จนั่นเอง

Track 07 Easily (3:51)
เพลงฟังคลอง่ายๆที่มีความคล้ายคลึงกับเพลง Get on Top แต่ฟังง่ายกว่าเท่าตัว เมโลดี้ของเพลงมีความฟังง่ายและฟังเพลินๆ เป็นอีกเพลงที่ค่อนข้างดี และฟังได้อย่างเพลิดเพลิน แต่ส่วนตัวเพลงนี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจมากสำหรับผมนัก

Track 08 Porcelain (2:43)
เพลงเบาช้าๆ ฟังง่ายๆ เพลินๆ ลอยๆ ด้วยลูกกลองที่มีแค่เหยียบแฮทกับกระเดื่อง เบสและกีตาร์เล่นกันอย่างช้าๆ เสียงร้องของ Anthony คลอไปกับเสียงคอรัสของ John ตลอดทั้งเพลง โดยรวมเพลงนี้ก็ยังเป็นเหมือนกับเพลงประกอบอัลบั้ม ที่มาคั่นอารมณ์ให้คนฟังอย่างเราๆได้ผ่อนคลาย (ไม้ยมกจะเยอะไปไหน แต่มันเป็นความรู้สึกอย่างงั้นจริงๆนะ ฮ่าๆ)

Track 09 Emit Remmus (4:00)
เสียงหอนของกีตาร์ขึ้นมา พร้อมเบสที่เล่นไลน์แบบแปลกๆ ขึดขัดไปกับกลอง เพลงมีจังหวะให้ยึกยักขึ้นมานิดหน่อย แต่ความน่าสนใจยังมีไม่มากเท่าไรนัก ดูเหมือนว่าช่วงกลางของอัลบั้มจะมีเพลงชวนง่วงส่วนใหญ่ (หัวเราะ) แต่เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่สนุกดี และคิดว่าน่าจะเป็นเพลงทดลองกัน ด้วยซาวนด์ของเพลงโดยรวมที่มีความแปลกใหม่ แปลกซะจนไม่ค่อยจะติดหูผมเท่าไร นอกจากท่อนอินโทร

Track 10 I Like Dirt (2:37)
หลังจากฟังเพลงแบบง่วงๆมา 3-4 เพลงได้ ดนตรีเร้าใจสไตล์วงได้กลับมาอีกครั้งเสียที เป็นอีกเพลงที่ผมเองชอบ แต่ยังไม่เคยเห็นวงเอาเพลงนี้มาเล่นเหมือนกัน กีตาร์เพลงนี้ถือว่าจัดจ้านสุดๆ ด้านเบสนั้นทำหน้าที่ดีซะยิ่งกว่ากาวตราช้างอุดรูแต่ละจุดของเพลงแบบละเอียดที่สุด ส่วนลูกกลองตามสไตล์ของ Chad นั้นคอยตีเล่นสลับกับเสียงร้องของ Anthony อยู่ตลอดทั้งเพลง เป็นเพลงที่ทำให้ผมตอนที่ฟังอัลบั้มนี้อยู่ตื่นขึ้นมาพอให้ได้สนใจขึ้นมาหน่อย

Track 11 This Velvet Glove (3:45)
เสียงกีตาร์โปร่งขึ้นมา คลอไปอย่างช้าๆ ฟังแบบเพลินๆ ได้กลับมาอีกครั้ง เป็นเพลงที่ฟังแล้วทำให้อยากไปทะเลแบบบอกไม่ถูก เป็นแนวเพลงที่ทางวงยังคงทดลองอีกเช่นเคย ด้วยสไตล์เนิ้บๆเรียบง่าย โดยรวมเป็นเพลงที่มีความคล้ายกับ Get on Top และ Easily แม้ว่าช่วงกลางจะมีพาร์ทที่หนักขึ้นมานิดหนึ่ง พอให้ได้ตื่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงฟังง่ายและชิวกับเพลงนี้

Track 12 Savior (4:52)
เพลงนี้ บอกตามตรงว่าส่วนตัวชอบเพลงนี้น้อยที่สุด และกดข้ามมันบ่อยมากในสมัยเรียน (หัวเราะ) ด้วยโครงของเพลงมีลักษณะแปลก เป็นเล่นกันแบบบิ้วอัพอารมณ์ เหมือนโหมโรงของงานละคร ก่อนที่จะตัดด้วยพาร์ทของดนตรีเบาๆช้าๆ เนิ้บในหู และตัดด้วยพาร์ทหนัก สลับกันไปสลับกันมา เป็นอีกเพลงที่วงก็ยังคงทดลองอีกเช่นเคย

Track 13 Purple Stain (4:13)
เพลงที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเพลงมันคือ RHCP ยุคแรกชัดๆ เพลงมีความกวนโอ๊ย เบสเล่นกระดี๊กระด๊าไปมา กีตาร์เล่นแบบงุกงิก (อธิบายแบบอะไรวะเนี่ย ฮ่าๆ) กลองก็โจ๊ะๆ ตามสไตล์ ยังไม่พอสำเนียงการร้องของ Anthony แบบที่เราคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ช่วงท้ายเพลงจะมีการโชว์พาร์ทดนตรีแบบดิบๆ

Track 14 Right on Time (1:52)
เพลงที่สั้นที่สุดในอัลบั้ม แต่ดังนะ (หัวเราะ) เพลงนี้มันมาดังก็เพราะช็อตในตำนานของการแสดงสด Sox on Cox เมื่อปี 2000 ในงาน Live, Exprience Music Project ที่คนในวงทุกคนเลือกที่จะทำอะไรบางอย่างใหโลกมันจดจำพวกเขามากกว่าการทำเพลง นั่นคือการแก้ผ้า และเอาถุงเท้ามาปิดไอเจ้าโลกของแต่ละคน เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของวง รวมถึงวงการเพลงร็อคด้วย เป็นอีกเพลงที่เบสเล่นสนุกและยากไปในเวลาเดียวกัน

Track 15 Road Trippin’ (3:25)
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงบทเพลงสุดท้าย บทเพลงฟังง่ายๆที่เล่าเรื่องของการเดินทางโดยมี Flea, Anthony, และ John ได้เดินทางไปที่เรียบชายฝั่งทะเล เพื่อไปเล่นกระดานโต้คลื่นกันที่ชายหาด Big Sur ย่านแคลิฟอร์เนีย การเที่ยวครั้งนี้มีเพื่อต้อนรับ John หลังจากที่ตัดสินใจมาร่วมเดินทางอีกครั้ง ในตอนนั้น Chad ไม่ได้ไปด้วย เนื่องจากติดธุระ เพลงถูกบรรเลงด้วยกีตาร์โปร่งและเบสโปร่ง เป็นซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มที่ปล่อยออกมาเพื่อโปรโมทอัลบั้มนี้อีกด้วย

**Bonus Track**


Track 01 Fat Dance (3:40)
เป็นเพลงแนว Funk Rock แนวที่ทางวงถนัดกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฟังแล้วพอทำให้คิดถึงยุคเก่าๆกับวงได้ขึ้นมาได้บ้าง ด้วยเสียงร้องโจ๊ะ พร้อมกับดนตรีที่ล้อกันไปมาให้ได้โยกสนุกๆ

Track 02 Over Funk (2:58)
เพลงที่มีลักษณะในการแจม ต่างคนต่างโชว์พาร์ทของดนตรีกัน เป็นอีกเพลงที่สนุกดี สมกับเป็น Bonus Track สไตล์ของเพลงได้กลิ่นอายในยุคของ Blood Sugar Sex Magik แบบเต็มๆ

Track 03 Quixoticelixer (4:48)
เพลงเนิ้บๆ ฟังง่ายๆ ที่นำมาด้วยกีตาร์สไตล์ของ John Frusciante พร้อมกับกลองและเบสที่เล่นมาอย่างง่ายๆปิดจบอัลบั้มนี้ ไปอย่างสบายหู ชิวๆ ได้อารมณ์ของชายหาดละแวกแคลิฟอร์เนีย

—----------------------------------


(จาก https://images4.fanpop.com/image/photos/19800000/rhcp-red-hot-chili-peppers-19887155-630-415.jpg)

อัลบั้มนี้จะไม่สมบูรณ์เลยหากขาดเสียงคอรัสอันมีเอกลักษณ์จาก John Fruscuiante ที่เป็นส่วนสำคัญของวงไป รวมถึงไลน์กีตาร์ที่เฉียบขาด การกลับมาครั้งนี้ของ John ได้ทำให้วงทะยานขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด และต่อยอดความสำเร็จด้วยอัลบั้ม By the Way ที่ออกปี 2002 และอัลบั้มคู่ Stadium Arcadium ที่ออกเมื่อปี 2006 ก่อนที่ John จะเกิดความติสท์แตกออกจากวงไปอีกครั้ง และก็กลับมาอีก (หัวเราะ)

ให้คะแนนส่วนตัวอยู่ที่ 7.5/10 อัลบั้มนี้เหมาะสำหรับคนที่จะลองฟังหรือทำความรู้จักกับวงนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเพลงดังที่ฟังง่าย ย่อยง่าย แต่สำหรับผมเอง อัลบั้มนี้ไม่ใช่แนวผมเองซักเท่าไร เพราะยังชอบลายเส้นแบบยุคอัลบั้ม หรือแม้กระทั่งอัลบั้มที่ถูกนักวิจารณ์กล่าวว่าไม่ดีอย่าง One Hot Minute ที่มีความจัดจ้าน ความห่าม ความแปลก ความโจ๊ะโจ๋ของวงแต่ถ้าใครชอบสไตล์เพลงที่ชิวๆ ฟังง่าย อัลบั้มนี้ผมแนะนำให้คุณฟังทันที หากอยากรู้จักกับวงนี้

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก็ได้ครบรอบ 24 ปี กับอัลบั้มที่ได้พาวงสู่ทะยานในจุดสูงสุด กับการกลับมาของ John Frusciante กับอัลบั้ม Californication

ขอให้สนุกกับการอ่านและฟังอัลบั้มนี้ควบคู่ไปด้วยนะครับ

เพลงที่แนะนำ:
สำหรับคนพึ่งรู้จักวง Scar Tissue, Otherside, Californication
สำหรับคนที่เคยได้ฟังผลงานมาอย่างคร่าวๆแล้ว Around The World, Parallel Universe, I Like Dirt, Purple Stain





Comments

Popular posts from this blog

ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 07 Nirvana - Bleach (1989)

ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 05 Dream Theater - Octavarium (2005)