ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 03 Slipknot - Vol.3: The Subliminal Verses (2004)

 ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 03


ในช่วงประถมของการเริ่มฟังเพลงแนวหนักหูหนักกะโหลก เชื่อว่าหลายคนคงไม่พ้นวงที่มีสมาชิก 9 คน พร้อมเลขที่ติดอยู่ที่แขน ผนวกกับหน้ากากแต่ละสไตล์ที่แปลกประหลาด ลักษณะของแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกันไป แน่นอนครับรอบนี้เราจะมาพูดถึง 9 หน้ากากนรก Slipknot


(จาก https://headbangkok.com/wp-content/uploads/2016/04/slipknot-2004.jpg)

ท้าวความก่อนว่า Slipknot เป็นการรู้จักครั้งแรกโดยบังเอิญที่บ้านเพื่อนสมัยเรียนประถม MV เพลง Psychosocial เสียงแผดที่กัดปิ๊กเริ่มแรกของเพลง มันช่างเตะหูและแสบสะเทือนไปถึงร่องก้นบึ้งในจิตใจอะไรขนาดนั้น พร้อมกับหน้าของ Corey Taylor (#8) ในยุคอัลบั้ม All Hope is Gone ที่เป็นกิมมิคที่คลาสสิกตลอดกาล ทำให้เด็กน้อยหัวเกรียนคนนั้น ได้กลายมาเป็นไอบ้าที่ฟังแต่เพลงหนักๆในทุกวันนี้

ภาพปกที่เป็นหน้ากากที่มีความคล้ายคลึงกับหน้ากากของ Chris Fehn (#3) จำได้ว่าในตอนแรกไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะมัวแต่บ้าฟังอัลบั้ม Slipknot (1999) ที่มีเพลงปั่นประสาทกระจายหูระเบิดสมองเล่นอยู่ แต่ท้ายที่สุดช่วงประมาณ ม.1 (ถ้าจำไม่ผิด) ตัดสินใจฟังอัลบั้มดังกล่าวที่ว่าไปนั่นคืออัลบั้ม Vol.3 The Subliminal Verses

อัลบั้ม Vol.3 (ขอเรียกอย่างงี้แล้วกันนะ เพราะชื่อมันยาว) ถือเป็นอัลบั้มที่เปลี่ยนแปลงวงส่งผลให้ชื่อเสียงของวงนั้น มีระดับขึ้นมาเทียบเท่ากับวงระดับโลกในชั่วพริบตา กับบทเพลงที่โคตรจะโด่งดังมากมาย รวมไปถึงการตัดสินใจลดความหนักหน่วงของเพลงให้เบาลง และไปเน้นการฟังง่าย โดยใส่เมโลดี้ที่ติดหูให้มากยิ่งขึ้น


(จาก https://images.genius.com/3fa705c891304f7a7e16cb384b3844f7.1000x1000x1.png)

อัลบั้มชุดนี้ได้ Rick Rubin โปรดิวเซอร์ที่มีชื่อเสียงที่เคยร่วมงานทั้งวง Red Hot Chili Peppers, System of a Down, Metallica, Etc. แม้ว่าในภายหลัง Corey Taylor เองจะบอกว่าตนเองนั้นจะขอร่วมงานเพียงครั้งเดียวด้วยการทำงานที่ไม่ลงรอยกันดีนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Rick Rubin ได้ทำให้ Slipknot กระโดดขึ้นไปอีกขั้น

จำความรู้สึกครั้งแรกของอัลบั้มได้อยู่เสมอว่า รายละเอียดของเพลงหรือการเรียบเรียงเพลงภายในอัลบั้ม ถือว่าดีมากๆ มันลื่นไหล ลงตัว และพอดี แม้ว่าจะมีข้อเสียคือเสียงกลองและเบสมันค่อนข้างจะแห้งแบบแปลกๆ รวมไปถึงเสียงของเฮีย Corey ด้วยที่มันมีความแหม่งๆ เลยทำให้ไปไม่สุด แต่โดยรวมมันสนุก เพราะความแปลกใหม่ที่วงไม่เคยทำ ผนวกกีตาร์โซโล่ ที่ทางวงตัดสินใจเอามาใช้ในเพลงเป็นครั้งแรก

แม้ว่าวงเคยมีความคิดที่จะเอากีตาร์โซโล่มาใช้นานแล้วตั้งแต่อัลบั้ม IOWA (2001) แต่ด้วยกระแสนูเมทัลในยุคนั้นยังสามารถหากินได้ และคิดว่าการทำเพลงที่มีความคล้ายคลึงกับอัลบั้มแรกสุด (Slipknot) แต่เพิ่มดีกรีความหนักของเพลงลงไปให้มากขึ้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า ซึ่งมันก็ได้ผล

อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นช่วงการทำงานที่กดดันถึงขีดสุดภายในวง ด้วยสถานภาพของวงที่เริ่มมีชื่อเสียงที่มากขึ้น และแน่นอนการที่มีสมาชิดถึง 9 คน มันต้องวุ่นวายและโกลาหลเป็นอย่างมาก จึงส่งผลต่อการที่ทุกคนในวงพักไปช่วงเวลาใหญ่ๆ ก่อนจะกลับมาทำอัลบั้ม All Hope is Gone ในเวลาถัดมา

เล่าเรื่องราวมาเยอะมากจนเกินไปและ ได้เวลามาเจาะลึกถึงแต่ละแทร็คกันดีกว่าว่าแต่ละเพลงนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ภายในอัลบั้มต้นฉบับมีจำนวเพลงทั้งหมด 14 แทร็คด้วยกัน ส่วน Deluxe Edition มีการเพิ่มแทร็คที่เป็นเพลงจำนวน 4 แทร็ค และเสียงบันทึกจากการแสดงสด จำนวน 4 แทร็ค

รีวิวแบบ Track by Track



(จาก https://m.media-amazon.com/images/I/91SVc9AaamL._UF1000,1000_QL80_.jpg)

Track 01 Prelude 3.0 (3:57)
ถือว่าช็อคแฟนเพลงเดนตายของวง เมื่อเจอแทร็คแรกเปิดขึ้นมาด้วยเสียง Ambient แปลกๆ ขึ้นมา ก่อนจะขึ้นด้วยเสียงร้องของเฮียคอรี่ ที่ร้องแบบคลีนครั้งแรกของวง (ในตอนนั้น) เพลงมีความเป็นกลิ่น Psychedelic ทำให้ได้พอรู้ว่าอัลบั้มวงกำลังทดลองในเรื่องของแนวเพลง ให้ไม่เกิดความจำเจมากจนเกินไป ก่อที่จะเริ่มปรับมู้ดของดนตรีให้หนักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเข้าสู่แทร็คต่อไปที่กำลังเสิร์ฟให้แก่ผู้ฟัง

Track 02 The Blister Exists (5:19)
อินโทรขึ้นด้วยกลองกระหึ่มจาก Joey Jordison (#1) ขึ้นมาพร้อมกับกีตาร์ริทึ่มที่ขึ้นโดย James Root (#4) ผลัดกับเสียงเพอคัสชั่นของ Shawn Crahan (#6) แล้วเริ่มเปล่งคำแรกด้วยการนับเลข 1 2 3!!! ก่อนที่จะตะบันดนตรีกันอย่างบ้าระห่ำ ในช่วงกลางเพลงถือว่าเป็น Signature ของเพลงนี้ก็ว่า จังหวะการเล่นกลองแบบมาร์ชชิ่ง และเป็นครั้งแรกที่วงตัดสินใจให้ตำแหน่งเพอคัสชั่นได้ใช้สแนร์มาร์ชชิ่งอีกด้วย ก่อนที่จะมีในเพลงต่อๆมา เช่น Psychosocial หรือ All Out Life เป็นต้น

Track 03 Three Nil (4:48)
เสียงกลองเปิดอีกเช่นเคย แต่รอบนี้ตามมาด้วยกีตาร์ที่ปั่นกระหน่ำ ลูก Blast Beats ถือเป็นท่อนที่ชอบมากสำหรับผมเองอ่ะนะ และก็เป็นเพลงที่ผมเองนั้นชอบมากเป็นพิเศษ ด้วยสัดส่วนต่างๆ ที่แอบแทรกเข้ามาตลอดเพลง รวมถึงกลองที่เฮียโจอี้แกตะบี้ตะบัน เรียกได้ว่าคนที่อยากแกะเพลงนี้ถึงกับต้องเกาหัวกันไปบ้างแหละ ไม่ได้มีแค่กลองที่โคตรจะบ้า ไลน์กีตาร์เพลงนี้ก็ค่อนข้างเอาเรื่อง ก่อนที่ช่วงกลางเพลงที่มีการใส่ลูกเล่นโยกๆหนืดๆเข้าไปเพื่อความกลมกล่อมของเพลงนี้ เพลงนี้ทางวงเคยเอามาเล่นช่วงนึงของทัวร์โปรโมทอัลบั้ม และได้นำกลับมาเล่นอีกครั้งเมื่อปี 2014 ในงาน Knotfest ผมจำความรู้สึกได้ดีว่า ดีใจโคตรๆที่วงเอาเพลงนี้กลับมาเล่น ซึ่งในตอนนั้นนั่งดูไลฟ์สด น่าจะเว็บเถื่อนถ้าจำไม่ผิด ฮ่าๆ

Track 04 Duality (4:12)
I Push My Finger Into My… แน่นอนทุกคนพร้อมตะโกนคำว่า อายยยยยยยยยยยย ออกมาเป็นอย่างแน่แท้ บทเพลงที่ทำให้ Slipknot ได้ก้าวขึ้นไปสู่วงระดับโลกโดยสมบูรณ์ และต้องเอามาเล่นแม่งทุกงาน ย้ำว่าทุกงาน ฮ่าๆๆ เป็นเพลงที่มีจังหวะโยกที่โคตรจะคลาสสิก การตีถังของลุงชอนเจ้าตัวตลก และ MV เพลงที่คนมารวมกันพังบ้าน เชื่อว่าเป็นที่ตราตรึงของทุกคนสำหรับเพลงนี้ เพลงโดยร่วมไม่ต้องพูดไรเยอะแยะ เชื่อว่าทุกคนที่ฟังเมทัลรู้จักกันทุกคน หรือไม่ใช่สายนี้ก็ต้องเคยผ่านหูกันมาทุกคน

Track 05 Opium of the People (3:12)
Riff กีตาร์ที่โคตรพ่อโคตรแม่สะเด่านิ้วและหู ที่ทั้ง James Root (#4) และ Mick Thompson (#7) ปั่นกันซะเหมือนว่าโซโล่กันทั้งเพลง กีตาร์ที่สลับไปสลับมาวนเวียนกันไป พร้อมกับท่อนฮุคที่ค่อนข้างจะติดหูง่าย แต่ค่อนข้างแนะนำเพลงนี้ในช่วงของกลางเพลง ที่มีการแอบใส่โซ่กีตาร์เข้าไปนิดๆหน่อยๆ เป็นการหยอดหูแฟนเพลงให้รู้ว่า วงได้เปลี่ยนแนวทางในการแล้วนะจ๊ะ เพลงนี้วงเพิ่งเอามาเล่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2014 ในงาน Knotfest เช่นเดียวกัน ก็ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ต่อตัวผมเองค่อนข้างมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าพวกแกจะเอาเพลงนี้มาเล่นกัน

Track 06 Circle (4:22)
เพลงอะคูสติกเบาๆ เหมือนเป็นการล้างหูให้กับคนที่กำลังนั่งฟังอยู่ เพลงนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์อีกเช่นเคย เพราะเพิ่งเคยเห็นวงไปเล่นแนวแบบนี้ ที่อีกนิดมันเป็นแนวคันทรี่แล้วด้วยซ้ำ เป็นอีกเพลงที่เพราะ ยอมรับว่าฟังตอนแรกคิดว่ากำลังฟัง Stone Sour วงอีกวงของเฮียคอรี่แก ฮ่าๆ ก่อนที่จะเริ่มมีเสียงแปลกๆเข้ามาช่วงท้ายเพลงที่เปลี่ยนมู้ดของเพลงไปด้วยกลองที่อยู่ดีๆก็ตีขึ้นมาซะงั้น

Track 07 Welcome (3:15)
อินโทรกลองที่โคตรพ่อโคตรแม่แสนจะเท่ โดยรวมของเพลงบอกตามตรงว่าโคตรของโคตรตะบี้ตะบันกันกระจาย และเป็นแทร็คแรกที่มีการใช้กีตาร์โซโล่ ทำให้เราได้รู้ว่าวง Slipknot โซโล่กีตาร์กันเป็นและไม่ธรรมดาซะด้วย โดยรวมเพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่ดีโคตรๆสำหรับผม ช่วงกลางของเพลงมีการแลกโซดล่กันอีกด้วย

Track 08 Vermillion (5:16)
เสียงคีย์บอร์ดที่กดขึ้นมา พร้อมเสียงดนตรีที่ดำเนินด้วยการไปอย่างเอื่อยๆช้าๆ เพลงนี้มีความน่าสนใจตรงที่ทางวงได้ทำหน้ากากเฉพาะ หรือหน้ากาก Death Mask ที่ใช้การพิมพ์หน้าของตัวเองมาใส่ทับหน้าอีกทีนึง ซึ่งหน้ากากนี้เอาไว้สำหรับการแสดงเพลงนี้เท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีการใช้หน้ากากนี้แค่ในช่วงทัวร์ของอัลบั้มเท่านั้น แม้ว่าในยุคต่อมาจะมีใส่อยู่บ้าง แต่ก็มีเพียง Paul Gray (#2) และ Craig Jones (#5) ที่ใส่ในช่วงทัวร์อัลบั้ม All Hope is Gone ท่อนโซโล่ที่บรรเลงโดยลุง Mick ถือว่าเป็นอีกโซโล่ที่น่าจดจำ และเมโลดี้ที่ติดหูโคตรๆอีกเพลง

Track 09 Pulse of Maggots (4:19)
เป็นอีกเพลงที่ปั่นกันกระจาย รวมไปถึงเป็นเพลงแรกที่มีการปล่อยแอร์ไทม์ให้กับคนดูได้ตะโกน เฮ้!! คลอไปกับบทเพลงที่กำลังตะบี้ตะบัน เช่นเคย Joey ยังคงปั่นกลองและกระเดื่องอย่างเสนาะหู ช่วงกลางเพลงยังคงใช้มุขกีตาร์โซโล่สลับกัน 2 คนไปมา ก่อนจะปิดจบลงด้วยความมันส์ยันเฮือกสุดท้าย

Track 10 Before I Forget (4:38)
อินโทรกีตาร์ขึ้นมา เชื่อว่าแฟนเพลงเดนตายหรือไม่ใช่ ยังไงก็รู้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงอะไร อีกบทเพลงที่ชูโรงอัลบั้มและสถานภาพของวงอีกเช่นเคย และที่สำคัญเป็นเพลงที่ป็อปที่สุดของวงก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเหมาะสมสำหรับผู้ที่ฟังเพลงร็อคทั่วไปเลยเสียด้วยซ้ำ (แต่ส่วนตัวจะข้ามเพลงนี้บ่อยมาก รวมไปถึงเวลาดูคอนเสิร์ตของวงด้วย เนื่องด้วยได้ยินบ่อยจนเกินไป ฮ่าๆ)

Track 11 Vermilion Pt.2 (3:44)
เพลง Vermilion เวอร์ชั่นอะคูสติก เป็นอีกเพลงที่มาช่วยผ่อนคลายหูและเสริมความหม่นของโทนเพลงเข้าไป ถือเป็นอีกเพลงที่เพราะ ได้อารมณ์ของความผ่อนคลายขณะที่ฟัง พร้อมเสียงร้องของ Corey ในโทนต่ำ ถือว่าได้เห็นอีกมุมนึงของวง ก่อนจะจบลงไปแบบหม่นๆ

Track 12 The Nameless (4:28)
เป็นอีกเพลงที่เพิ่มสีสันให้กับอัลบั้ม ด้วยสัดส่วนของเพลงที่มีความแปลกใหม่ในรูปแบบของวงที่ไม่เคยทำมาก่อน รวมถึงการสลับกันไปมาช่วงดนตรีหนักหน่วงและผ่อนช่วงของดนตรี เป็นอีกเพลงที่มีเมโลดี้สวยงาม รวมถึงช่วงกลางมีการใช้มาร์ชชิ่งสแนร์เช่นเคย แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพลงนี้ไม่ค่อยได้ถูกนำมาเล่นนัก มีรูปแบบในการแสดงสดที่สามารถรับรองได้ว่าเป็นของจากทางวงจริงๆ ก็มีเพียงเวอร์ชั่นอัลบั้มแสดงสด 9.0 Live ที่ได้วางจำหน่ายไปเมื่อปี 2005 เป็นการรวมเสียงการแสดงสดช่วงทัวร์โปรโมทอัลบั้ม

Track 13 The Virus of Life (5:25)
กลิ่นอายของ 2 อัลบั้มแรกของวงได้กลับมาอีกครั้ง เสียงถังและเสียง Sampler ที่ปั่นประสาทไปมา รวมไปถึงการได้ใช้เสียงร้องที่หวีด ผนวกเข้ากับเสียงกีดกีตาร์ที่หลอนหูอย่างไม่หยุดหย่อน และเบสที่คอยเดินไปอย่างช้าๆ ตัดกับกลองที่ขัดกันไปมา โดยรวมเป็นเพลงที่ดี แต่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากนัก เป็นอีกบทเพลงที่ให้แฟนเพลงได้รับบรรยากาศของวงในยุคดั้งเดิม

Track 14 Danger - Keep Away (3:13)
และแล้วก็มาถึงจุดสิ้นสุดของอัลบั้มนี้ ด้วยเพลงที่มีกลิ่นอายของความเป็น Psychedelic และมีเพียงแค่คีย์บอร์ด กลอง และเสียงร้องของ Corey สั้น ก่อนจะตัดจบเพลงนี้ไปอย่างเงียบๆ เป็นการจบของอัลบั้มที่ดังที่สุดของวง 9 หน้ากาก Slipknot

—------------------------------------------

**Bonus Track**


Track 15 Don’t Get Close (Bonus Track) (3:47)
เสียงโป๊งจาก ถั ง คลอขึ้นมาพร้อมกับเสียงโซ่ และกลองที่เฟดอินขึ้นมา ก่อนจะตระบันกระหน่ำยิงยาวยันจบเพลง เป็นอีกเพลงที่สนุกดี สมกับเป็นโบนัสแทร็ค

Track 16 Scream (Bonus Track) (4:31)
ถือเป็นอีกเพลงที่โคตรดี ดีโคตรๆ จนเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นโบนัสแทร็ค และวงก็ไม่เคยเอานำมาเล่น ถือเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากสำหรับเพลงนี้

สรุปโดยรวมแล้ว อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ไร้เทียมทาน และมีดนตรีที่สวยงาม รวมถึงเพลงที่ค่อนข้างจะติดหูง่าย แล้วยังมีบางเพลงที่มีกลิ่นอายเก่าของวงอีกด้วย แต่มีข้อเสียที่ไม่ชอบส่วนตัวคือเสียงกลองและเสียงร้องที่ช่วงนั้นทาง Corey เอง ยังบอกว่าช่วงนั้นสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก เป็นเหตุผลที่ทำให้เสียงร้องในอัลบั้มเป็นตามอย่างที่เห็น แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอัลบั้มนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำในสิ่งใหม่ๆที่วงไม่เคยทำกันมาก่อน จนมาเป็น Slipknot ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้

ให้คะแนนส่วนตัว 8/10 เพลงฟังง่ายขึ้น มีการใส่กีตาร์โซโล่เข้าไป รวมไปถึงสแนร์มาร์ชชิ่ง แต่จณะเดียวกันความเป็น Slipknot ในยุคดั้งเดิมยังคงมีอยู่ แต่ข้อเสียเป็นตามอย่างที่ว่าคือเสียงกลองที่มีความแหม่งๆ (ส่วนตัว) และเสียงร้องที่ไม่ค่อยจะดุดันเหมือนอย่างที่เคยได้รับ แต่ยังไงแล้วอัลบั้มนี้ ยังคงฟังจนทุกวันนี้ รวมถึงหน้ากากในอัลบั้มนี้โคตรเท่ โดยเฉพาะหน้ากากของ Sid Wilson (#0)

สุดท้ายแล้วอยากให้ทุกคนได้หยิบกลับมาฟังอีกซักครั้ง เนื่องในวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา อัลบั้ม Vol.3 The Subliminal Verses ได้ครบรอบ 19 ปีเต็ม อีกอัลบั้มสุดยอดของยุคเมทัล 2000

ขอให้ทุกคนสนุกและเอนจอยกับบทความนี้นะครับผม และอย่าลืมนั่งฟังไปด้วยขณะอ่านบทความนี้ เพื่อความเห็นภาพที่ชัดมากยิ่งขึ้น

เพลงที่แนะนำ : Three Nil, Welcome, Pulse of Maggots (ขอแนะนำแต่เพลงไม่ดัง เพราะดีจริงนอกจาก 2 เพลงเทพที่ประดับในอัลบั้ม)











Comments

Popular posts from this blog

ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 06 Red Hot Chili Peppers - Californication (1999)

ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 07 Nirvana - Bleach (1989)

ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 05 Dream Theater - Octavarium (2005)