ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 04 Avenged Sevenfold - City of Evil (2005)
ฟังแล้วจำเลยนำไปเขียน 04
อีกวงนึงที่เชื่อว่าชาวร็อคทุกคนต้องยัดไปอยู่ในอันดับ อัลบั้มที่มีความหมายกับความทรงจำในชีวิต ของวงที่มีลุคสุดเท่ ทาตา ทาหน้า การเคลือบฟันเงิน พร้อมด้วยทรงผมรากไทร วันนี้เราจะมาพูดถึงวงอีกวงที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุค Millennium นั่นคือวง Avenged Sevenfold หรือ A7X ที่เรารู้จักกันนั่นเอง
(จาก https://i.redd.it/f4qf63uqjxi11.jpg)
อัลบั้มที่เราจะพูดถึงกันก็คือ City of Evil อีกหนึ่งอัลบั้มที่โด่งดัง และสร้างชื่อเสียงให้กับวงเป็นอย่างมาก จากเหตุการณ์ปัญหาเส้นเสียงเรื่องการร้องเพลงของ M.Shadows ที่โชคดีในความโชคร้ายอีกที แต่การหาทางออกในการขับร้องโดยไม่ทำร้ายตัวเองที่มากจนเกินไป สิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดลายเส้นของการร้องจนกลายเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบัน
วงนี้จำได้ว่ารู้จักครั้งแรกจากแชแนล Metal Advice ของพี่เบย์ ริฟเฟอร์ นักแคสเกมชาวร็อคในตำนานของไทย จากคลิปเอาเพลงมาแปลงซับนรก จำได้ว่ามี 3 เพลง This Calling ของ All That Remains, Rose of Shyrne ของ Killswitch Engage กับท่อนที่ร้องว่า ฮาโด้เคน!!! ในตำนาน และเพลงอีกอัน คือเพลง Unholy Confession ของ A7X นั่นเอง ไอ้ควาย!!! คำแรกมาก็โดนใจเด็กหัวเกรียนที่นั่งดูคลิปนั้นอย่างบ้าคลั่ง แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มด่ำดิ่งกับวงนี้ไปอย่างบ้าคลั่ง
คอนเสิร์ตในตำนาน Avenged Sevenfold Live in LBC กับเพลง A Little Piece of Heaven นับว่าเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวและเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มชอบวงนี้ไปอย่างถาวร และก็เริ่มตามเก็บเพลงในอัลบั้มปกขาว (Seft-Titled 2007) มีบทเพลงระดับ LEGEND อย่างมาก อาทิ Critical Acclaim, Afterlife, Almost Easy เพลงที่ไม่ดังมากนักก็ยังถือว่าติดหู
MV ที่มีหน้า M.Shadows ทาขอบตาดำ หน้าขาว ฟันเคลือบเงิน ผมปัดไปข้างหลัง มันทำให้ผมสะดุดตาอย่างประหลาดว่า นี่มันเพลงยุคไหนวร๊ะ? ใช่ครับมันคือเพลง Beast and the Harlot จำได้ว่ารายละเอียดเป็นอะไรที่เท่มาก ก่อนที่หลังจากนั้นจะได้รู้จักอีกเพลงคือ Bat Country ที่ถือว่าโคตรพ่อโคตรแม่สุดยอดอีกเพลง ก่อนที่จะเริ่มลงรายละเอียดและจมดิ่งไปกับอัลบั้มนี้ ที่ตลกคือผมเองชอบอัลบั้มนี้ที่สุดในบรรดาทั้งหมด 8 อัลบั้มที่วงเคยทำมา
City of Evil ออกเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2005 จากความสำเร็จเดิมของอัลบั้ม Waking The Fallen ที่มีเพลงดังอย่าง Unholy Confession และ Second Heartbeat ที่พอทำให้ชาวหูเหล็กเริ่มได้รู้จักหนุ่ม 5 คนจาก California ด้วยลุคการแต่งกายที่จัดจ้านสไตล์อีโมที่เป็นเอกลักษณ์ City of Evil เปรียบเป็นบันไดสำคัญที่ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักกับพวกเขา ด้วยลักษณะของเพลงที่เบาลงในเรื่องของการร้องจากปัญหาเส้นเสียงของตัว M.Shadows เอง ทว่าผลลัพธ์กลับดีเกินคาดจนกลายเป็นลายเส้นที่อยู่ยงคงกระพันกับวงมาถึงปัจจุบัน
พูดเรื่องราวอย่างคร่าวของวงนี้มามากพอแล้ว เรามาต่อกับการพูดถึงเพลงภายในอัลบั้มเสียดีกว่า อัลบั้ม City of Evil มีแทร็คทั้งหมด 11 แทร็คด้วยกัน แต่ละเพลงต้องบอกตามตรงว่า ค่อนข้างนาน แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่าทุกแทร็คในอัลบั้มนี้มันแพรวพราวเสียจนฟังแปปเดียวก็ครบทุกแทร็ค
เราเริ่มกันเลยก็แล้วกัน
—--------------------------------------------
(จาก https://images.genius.com/5f76ae9e3eb70bddf479d46c5298b922.500x500x1.jpg)
รีวิวแบบ Track by Track
Track 01 Beast and the Harlot (5:42)
โหมโรงด้วยไลน์กีตาร์ที่ติดหูตั้งแต่ต้นเพลง ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์ด้วยกระเดื่องคู่ที่ปั่นโดย The Rev แล้วส่งต่อด้วยเสียงสครีมในรูปแบบใหม่ของ M.Shadows ที่หลายคนต่างว้าวกับสิ่งนี้ ก่อนจะส่งด้วยกีตาร์โซโล่ที่โคตรจะเพราะ การส่งต่อผลัดกันไปมาระหว่าง Zacky และ Synyster Gates ด้วยไลน์ฮาร์โมนี่ที่สวยงามมาก ช่วงกลางเพลงได้มีการโชว์พาร์ทกลองนิดหน่อยเป็นน้ำจิ้ม (แม้ว่าคนที่แกะกลองจะบอกว่าน้ำจิ้มก็บ้าละ) ในช่วงท้ายเพลงมีการใช้เมโลดี้ที่เหมือนกับอินโทรขึ้นต้นเพลงและปิดฉากเพลงนี้อย่างอลังการพร้อมที่จะส่งต่อไปในแทร็คต่อไป
Track 02 Burn it Down (5:00)
เสียงสแนร์รัว พร้อมการรูดสายของกีตาร์ ก่อนจะเข้าด้วยเสียงกีตาร์ประสานที่ติดหูแต่เริ่มเช่นกัน เพลงนี้ The Rev ปั่นกลองแบบโหดชิบหาย แกตีเหมือนว่าแกไม่มีลิมิตของความเหนื่อยในร่างกายแม้แต่น้อย เป็นอีกเพลงที่วงไม่ค่อยได้เอามาเล่นในปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เป็นอีกเพลงที่อยากให้ทุกคนได้ฟังในอัลบั้ม ถือว่าเป็นเพลงที่ติดหูง่ายและสนุก รวมถึงมีเมโลดี้ที่ไพเราะอีกด้วย
Track 03 Blinded in Chains (6:34)
เสียงสับสแนร์ที่คล้ายคลึงกับเพลงก่อนหน้ามาอีกครั้ง พร้อมการใช้สูตรเดิม ด้วยไลน์กีตาร์ที่เป็นเมโลดี้ แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่มีไลน์กลองเท่มาก และเร็วมากเช่นกัน เป็นเพลงที่ผมเองค่อนข้างชอบมันมากๆ แต่ไม่เคยเห็นวงเอาเพลงนี้มาเล่นสดซักครั้ง (หรืออาจจะไม่เห็นเอง) มีลูกส่งเบิ้ลกระเดื่องที่โคตรเท่ ก่อนจะจบด้วยเสียงสครีมที่โคตรเท่จาก M.Shadows หลังจากนั้น Johny Christ ก็ตะบันเบสขึ้น และทั้งวงก็โหมขึ้นมา ก่อนที่เพลงนี้จะเฟดออกไป
Track 04 Bat Country (5:13)
“He who makes a beast of himself get rid of the pain of being a man” ท่อนพูดขึ้นคำแรกของ M.Shadows ก่อนจะตะบันเสียงสครีมที่โคตรยาว เพลงนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะมากมาย เพราะแม่งโคตรดัง ไลน์กลองที่ตีโคตรสนุก ลายกีตาร์ประสานที่โคตรเพราะ เฮีย Syn. ก็ตะบันกีตาร์ไม่เกรงใจคนแกะกันเลย ด้วยเมโลดี้ที่ติดหู และความดังของมัน จึงเป็นเพลงที่วงไม่เอามาเล่นไม่ได้
Track 05 Trashed and Scattered (5:53)
ไลน์กีตาร์ขึ้นมาเป็นอินโทรที่โคตรติดหูเช่นเคย พร้อมกับการตะบันทั้งเพลงที่มีแนบจังหวะ Groove แบบหนืดๆเข้ามา น่าเสียดายอีกเช่นเคยที่วงเอามาเล่นแค่ช่วงทัวร์ของอัลบั้ม เพลงนี้ที่จริงมันดีมาก และอยากให้วงเอามาเล่นบ่อยเสียด้วยซ้ำ เป็นอีกเพลงที่ผมเองค่อนข้างชอบเป็นการส่วนตัว
Track 06 Seize the Day (5:35)
คอร์ด Dm ขึ้นมาพร้อมกับเสียงของ M.Shadows ร้องขึ้นมาว่า Seize The Day ก็ติดหูตั้งแต่คำแรก เพลงบัลลาดที่โคตรดัง จนก่อให้เกิดเพลงบัลลาดในยุคต่อๆมา ได้แก่ Dear God, So Far Away พร้อมกับ Nv ที่โคตรตำนาน เฮียแมทอยู่ในคุก และฉากในตำนานที่ลุง Syn. ยืนโซโล่บนโลงศพ ไหนจะฉากที่เดินกันเป็นแถวก่อนที่จะเป็นมีมมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพลงบัลลาดที่แม่งโคตรเท่ ที่สำคัญเป็นเพลงแรกๆในช่วงชีวิตที่เริ่มหัดเล่นกีตาร์
Track 07 Sidewinder (7:01)
เสียงกีตาร์ประสานเฟดอินเข้ามา พร้อมกับการเล่นบรรเลงเพลงที่มีความเป็นลาติน แต่ยังคงใส่ความแพรวพราวเข้าไปในไลน์ของดนตรีในทุกส่วน เบสสำหรับเพลงนี้เป็นอีกเพลงที่แนะนำให้แกะตามได้ เพลงนี้ถือว่าโคตรจะแพรวพราวในทางดนตรี รวมถึงการร้องด้วย ที่มันแปลกใหม่ และมีความอลังการ มีความ Prog อยู่นิดๆในตัวของเพลงเอง ในช่วงท้ายมีการเล่นเป็นพาร์ทของอะคูสติก และการเล่นทิมบาเล่ ให้ได้อารมณ์ของลาตินไปแบบเต็มสูบ ก่อนที่เพลงจะเฟดเอาท์ออกไป
Track 08 The Wicked End (7:10)
เสียงเบสและเสียงกลอง กระหึ่มขึ้นมา และต่อด้วยไลน์กีตาร์ประสานที่มีคสามอลังการแบบโคตรๆ สังเกตได้ว่า เพลงช่วงหน้า B เป็นต้นมาจะเป็นเพลงที่ทางวงเลือกที่จะปล่อยของกันแบบเต็มสูบแบบไม่บันยะบันยัง มีท่าไรใส่ให้หมด ช่วงกลางเพลงมีการโชว์ในส่วนของวง Symphony ในช่วงนี้บอกตามตรงว่าผมแม่งขนลุกทุกรอบที่ได้ฟังมัน ยิ่งส่งต่อด้วยเสียงร้องของเฮียแมทที่โคตรสูงและอิมแพ็คเป็นอย่างมาก บอกเลยว่าเพลงนี้โคตรดี
Track 09 Strength of the World (9:14)
เสียงกีตาร์โปร่งที่กำลัง Picking ด้วยคอร์ด Dm เป็นเพลงที่แสดงความเป็น Prog อย่างชัดเจน และเป็นเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบั้มนี้ถึง 9 นาทีต้นๆ โดยรวมของเพลงนี้ให้อารมณ์ของความอลังการเป็นหลัก แต่ยังคงมีลายเส้นประจำวงอยู่เช่นเคย ให้อารมณ์แบบ Symphony X & Nightwish ที่มีการเน้นเครื่องสายหรือเสียงของความอลังการแทรกเข้าไปอยู่ตลอด เป็นอีกเพลงที่ควรฟังสำหรับความแปลกใหม่ของวงที่ได้ทดลองในเพลงนี้
Track 10 Betrayed (6:47)
เป็นเพลงทั่วๆไป ที่คล้ายคลึงกับ Burn it Down & Blinded in Chains แต่จุดเด่นของเพลงนี้คือการ Bending สาย หรือการดันสายนั่นแหละ ที่โคตรถึง คือดันได้สะใจหูมาก โดยรวมเพลงนี้ถือว่าดี และเพราะ โซโล่กีตาร์เจ๋งด้วย
Track 11 M.I.A. (Missing in Action) (8:48)
เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้ เป็นเพลงที่เล่าเรื่องครบที่สุด และการจัดเพลงที่พอดีมากๆ ในช่วงขึ้นมาของเพลงจะเป็นเล่นกันแบบเบาๆ ก่อนที่จะตะบันกันกระหน่ำ ท่อนฮุคแม่งโคตรเพราะ ท่อนโซโล่ที่โคตรนาน และช่วงสุดท้าย เรียกว่าช่วงอิมแพ็คแล้วกัน คือมันสุดยอดมากๆ จำได้ว่ารู้จักเพลงนี้มาจากฟุตเทจคอนเสิร์ตที่วงแสดงสด ณ San Diego เมื่อปี 2005 หลังจากนั้นจะข้ามไปฟังเพลงนี้เป็นอันดับแรกอยู่เสมอ และภาพจำช่วงที่ผมยังเรียนอยู่มัธยมต้น มันยังคงลอยมาในหัวอยู่ตลอดเวลา
—--------------------------------------------
สรุปโดยรวมแล้ว อัลบั้มนี้อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ฟัง A7X มาแล้วประมาณนึง ถึงจะเข้าถึงอัลบั้มนี้ ยังไงซะอัลบั้มนี้ควรจะเป็นอันดับ 2 ไม่ก็ 3 สำหรับคนที่เริ่มจะฟังวงนี้ ด้วยพาร์ทดนตรีที่มีความจัดจ้าน และกลองที่ตะบันซะไม่ให้ใครแกะกันเลย ไม่แปลกใจนักที่จะเป็นอัลบั้ม Top 10 ที่ดีที่สุดของแนว Metalcore
ให้คะแนนส่วนตัว 8.5/10 เพลงจัดจ้าน กีตาร์ไลน์สวยมาก กลองและเบสประคองด้วยกันแบบหนาแน่น แต่มีข้อเสียอย่างเดียวคือ ทุกเพลงมีความจัดจ้านที่มากตามสไตล์ของวงในตอนนั้นที่ต้องการจะทดลองอะไรบางอย่าง จึงอาจจะไม่ค่อยเป็นมิตรสำหรับคนที่อยากลองทำความรู้จัก แม้ว่าอัลบั้มนี้จะมีความคล้ายคลึงกับอัลบั้ม Nightmare แต่ความจัดจ้านและความสดใหม่ของดนตรีต้องยกให้ City of Evil
แม้ว่าปัจจุบันวงได้ทดลองทำเพลงใหม่กับอัลบั้มล่าสุดอย่าง Life is but a Dream… ที่โคตรหลุดไปนอกจักรวาลจนโดนแฟนเพลงเดนตายหลายคนด่าเยอะมาก (ยกเว้นผม) แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ว่าอัลบั้มนี้เป็นหมุดหมายสำคัญของวงที่ทำให้คนนอกวงการเมทัลได้รู้จักมากขึ้น และเป็นจดหมายเหตุของวงการเพลง Metalcore ที่หากมีใครสนใจแนวนี้ก็สามารถให้อัลบั้มนี้ไปฟังได้เลยในทันที
และวานนี้ 6 มิถุนายน เป็นวันครบรอบ 18 ปี ของอัลบั้มสุดยอดของวงการ Metalcore นามว่า City of Evil
เพลงที่แนะนำ : Blinded in Chains, Sidewinder, The Wicked End, M.I.A.
Comments
Post a Comment